
23
May
จีน
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ เที่ยวซีอานเมืองหลวงพันปีของจีน
ซีอาน เมืองหลวงพันปีของจีน ที่เคยเป็นหัวใจของอารยธรรมยิ่งใหญ่ยาวนานกว่าสิบสามศตวรรษ เมืองที่อดีตยังมีชีวิต และปัจจุบันยังเปล่งประกายด้วยเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เปิดม่านประวัติศาสตร์ ซีอาน เมืองหลวงพันปีที่โลกต้องจารึก
ซีอานมิใช่เพียงเมืองที่เต็มไปด้วยโบราณสถาน หากแต่เป็นเวทีแห่งเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีลมหายใจ ทั้งกองทัพทหารดินเผาผู้ยืนสงบนิ่งใต้ดินมานับพันปี กำแพงเมืองโบราณที่ยังคงโอบล้อมหัวใจของเมืองเอาไว้ ไปจนถึงเจดีย์ห่านป่าทั้งใหญ่และเล็กที่เงียบงามท่ามกลางเสียงลมหวนของพุทธธรรม
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทอดน่องบนกำแพงเมือง ปั่นจักรยานชมแดดยามเย็น หรือหลงใหลในรสชาติของขนมหวานฮาลาลในย่านหุยหมินเจีย ทุกย่างก้าวในซีอานล้วนพาเราย้อนเวลา กลับไปสัมผัสกลิ่นอายของราชวงศ์ถัง หมิง และฉิน ที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศอย่างอ่อนโยน
บทความนี้จะพาคุณเดินทางสู่ซีอานผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลายแห่ง ทั้งในเมืองและนอกเมือง พร้อมบอกเล่าเรื่องราวที่หล่อหลอมเมืองนี้ให้เป็นหนึ่งในขุมทรัพย์ล้ำค่าของอารยธรรมจีน
หอระฆังและหอกลอง (Bell Tower and Drum Tower of Xi’an)
กลางใจเมืองซีอานอันคึกคัก มีสองสถาปัตยกรรมโบราณตั้งตระหง่านเงียบงาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย หอระฆังและหอกลอง สร้างขึ้นในยุคราชวงศ์หมิงเมื่อกว่า 600 ปีก่อน ทั้งสองถือเป็นศูนย์กลางในการบอกเวลาและสื่อสารภัยพิบัติในเมืองโบราณ
หอระฆังตั้งอยู่บนฐานอิฐสูง สะท้อนศิลปะสมัยหมิงอย่างวิจิตรบรรจง ขณะที่หอกลองซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน มีบทบาทสำคัญในการประกาศเวลาในยามค่ำคืน ทั้งคู่ยังได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีจนปัจจุบัน
ช่วงกลางวัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายใน ชมการจัดแสดงเครื่องดนตรีจีนโบราณ และเพลิดเพลินกับวิวมุมสูงของเมืองซีอาน ส่วนยามค่ำ หอทั้งสองจะถูกแต่งแต้มด้วยแสงไฟสีทองเปล่งประกาย ชวนให้นึกถึงบทเพลงเก่าแก่ที่ยังคงบรรเลงอย่างเงียบงันกลางมหานครที่ไม่เคยหลับใหล

กองทัพทหารดินเผาจิ๋นซีฮ่องเต้ (The Terracotta Warriors and Horses)
ใต้พื้นดินอันเงียบสงบของซีอาน มีหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีของโลกซ่อนตัวอยู่ กองทัพทหารดินเผาแห่งจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ กองทัพขนาดมหึมาที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานกว่า 2,000 ปี
ทหารดินเผาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อพิทักษ์สุสานของจักรพรรดิองค์แรกของจีนอย่างยิ่งใหญ่ มีทั้งทหารราบ ทหารม้า นายทหาร ม้าศึก รถรบ และอาวุธยุทธภัณฑ์จริงในขนาดเท่าคนจริง โดยแต่ละตัวมีรายละเอียดใบหน้าและท่าทางที่แตกต่างกัน ไม่มีซ้ำกันเลยแม้แต่นายเดียว แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านศิลปะและความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรฉิ
พื้นที่จัดแสดงหลักมีทั้งหมด 3 หลุมขุดค้น โดยหลุมที่ 1 เป็นหลุมใหญ่ที่สุด เต็มไปด้วยทหารดินเผากว่าพันตัวที่ยืนเรียงรายอย่างมีระเบียบราวกับพร้อมออกรบ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมจากทางเดินรอบหลุม และเรียนรู้ผ่านนิทรรศการเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการสร้าง รูปแบบการจัดทัพ และความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของจีนโบราณ

เจดีย์ห่านป่าเล็ก (Small Wild Goose Pagoda)
กลางลานสงบของวัดเจี้ยนฝูในซีอาน มีเจดีย์อิฐโบราณสูงตระหง่านตั้งอยู่ เจดีย์ห่านป่าเล็ก สถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังที่ยังคงงดงามแม้ผ่านพ้นกาลเวลามาแล้วกว่าพันปี
เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 707 เพื่อเก็บพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุที่พระภิกษุจีนนำกลับมาจากชมพูทวีป โดยมีความสูงเดิม 15 ชั้น แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 13 ชั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีต กระนั้นความสมดุลของเจดีย์ซึ่งไม่มีฐานรับแรงกระแทกก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ สะท้อนภูมิปัญญาทางวิศวกรรมโบราณได้อย่างน่าทึ่ง
พื้นที่รอบเจดีย์เงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เหมาะแก่การเดินเล่น ทำสมาธิ หรือเรียนรู้เรื่องราวพุทธศาสนาในยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง ตัววัดเจี้ยนฝูเองก็เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรมอันสำคัญ และมีหอระฆังไม้เก่าแก่ที่ยังคงตีบอกเวลาในยามเช้าและเย็น

เจดีย์ห่านป่าใหญ่ (Giant Wild Goose Pagoda)
ท่ามกลางทิวทัศน์เมืองซีอานที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เจดีย์ห่านป่าใหญ่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัดต้าฉือซื่อ เงียบสงบ งดงาม และสง่างามดั่งประภาคารแห่งพุทธธรรมที่ไม่เคยดับแสง
เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 652 สมัยราชวงศ์ถัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์พุทธและพระบรมสารีริกธาตุที่พระถังซำจั๋ง (พระเสวียนจั้ง) อัญเชิญกลับมาจากชมพูทวีปในตำนานการเดินทางไปอันโด่งดัง เจดีย์มีความสูงเดิม 5 ชั้น และต่อมาได้รับการบูรณะให้สูงถึง 7 ชั้นในปัจจุบัน ตัวอาคารสร้างจากอิฐเรียงอย่างปราณีตในทรงสี่เหลี่ยมแบบจีนดั้งเดิม แฝงไว้ด้วยความมั่นคงและเรียบง่ายตามหลักพุทธศิลป์
ภายในเจดีย์มีบันไดที่สามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบได้น ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองซีอานได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเย็นเมื่อแสงแดดอาบตัวเมืองไว้ด้วยสีทอง เงาของเจดีย์ทอดยาวลงบนลานหินเบื้องล่าง สะท้อนความสงบราวกับโลกหยุดเคลื่อนไหว

กำแพงเมืองซีอาน (Xi’an City Wall)
ถ้าหากเมืองซีอานคือหน้าประวัติศาสตร์เล่มใหญ่ของจีน กำแพงเมืองโบราณก็คือกรอบหน้าปกที่ยังคงแข็งแรงงดงามไม่เสื่อมคลาย กำแพงแห่งนี้เป็นหนึ่งในระบบป้องกันเมืองแบบโบราณที่สมบูรณ์ที่สุดของจีน ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงช่วงศตวรรษที่ 14 มีความยาวกว่า 13.7 กิโลเมตร และสูงราว 12 เมตร ล้อมรอบใจกลางเมืองเก่าไว้ทั้งหมด
โครงสร้างของกำแพงแข็งแกร่งด้วยอิฐหนาทับซ้อนกันหลายชั้น มีป้อมประจำมุมเมือง ประตูเมือง และหอสังเกตการณ์กระจายอยู่เป็นระยะ บ่งบอกถึงความรอบคอบในศาสตร์การทหารของจีนโบราณ ในอดีตกำแพงนี้เคยเป็นแนวป้องกันเมืองจากศัตรู ปัจจุบันกลับกลายเป็นเส้นทางเดินเล่น ปั่นจักรยาน และชมวิวเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
กิจกรรมยอดนิยมคือการเช่าจักรยานขี่รอบแนวกำแพง ชมวิวเมืองใหม่กับเมืองเก่าในฉากเดียวกัน ในบางช่วงเย็นยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมจีนให้ชมบนเวทีกลางแจ้งใกล้ประตูเมืองต่าง ๆ ซึ่งเสริมบรรยากาศแห่งอดีตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อุทยานต้าถังฝูหรง (Tang Paradise)
ถ้าคุณเคยจินตนาการถึงความหรูหราและงดงามของยุคราชวงศ์ถัง ยุคทองแห่งศิลปะ วรรณกรรม และดนตรีของจีน อุทยานต้าถังฝูหรง (Tang Paradise) คือสถานที่ที่สามารถพาคุณย้อนเวลากลับไปสัมผัสเสน่ห์แห่งยุคนั้นได้อย่างแท้จริง
Tang Paradise คือสวนวัฒนธรรมขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเจดีย์ห่านป่าใหญ่ ถูกสร้างขึ้นโดยจำลองสถาปัตยกรรม สวน น้ำตก และศิลปวัฒนธรรมในสมัยราชวงศ์ถังให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่แค่สวนหย่อมหรือสวนสาธารณะธรรมดา แต่เป็นอุทยานที่ออกแบบอย่างประณีตเพื่อเล่าเรื่องราวของอารยธรรมจีนผ่านการจัดวางอาคาร การแสดง และภูมิทัศน์
ระหว่างทางเดินที่โอบล้อมด้วยสระน้ำ ศาลาริมน้ำ และสะพานหินโค้ง ผู้มาเยือนจะได้พบกับศิลปินแต่งกายโบราณ การแสดงระบำดนตรี และงานแกะสลักที่บอกเล่าชีวิตผู้คนในยุคถังอย่างละเมียดละไม โดยเฉพาะในช่วงค่ำ สวนจะสว่างไสวไปด้วยแสงสีและการแสดงแสงเสียงกลางแจ้งริมทะเลสาบ ที่ถ่ายทอดตำนานแห่งราชวงศ์ถังได้อย่างวิจิตรตระการตา

วัดกวงเหริน (Guangren Lama Temple)
วัดกวงเหรินลามะ วัดพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบตเพียงแห่งเดียวในมณฑลส่านซี และยังถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้
วัดกวงเหรินสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1703 ในรัชสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง เพื่อรองรับลามะจากทิเบตที่เดินทางมาพำนักหรือเยือนเมืองหลวง บรรยากาศภายในวัดจึงสะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมทิเบตอย่างชัดเจน ทั้งสถูปทรงทิเบต ธงมนตราสีสันสดใส และพระพุทธรูปแบบวัชรยานที่ประดิษฐานอย่างวิจิตรอลังการ
เมื่อเดินเข้าสู่วัด เสียงสวดภาวนาแผ่วเบาและกลิ่นกำยานหอมจาง ๆ จะต้อนรับผู้มาเยือนอย่างสงบเย็น วัดแบ่งออกเป็นหลายโถงบูชา โดยโถงหลักคือที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเจ้าแม่ตาราเขียวอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาอย่างสูงของพุทธศาสนิกชนสายทิเบต

ภูเขาหัวซาน (Mount Hua)
ดินแดนที่ธรรมชาติและศาสนาแทรกตัวอยู่ร่วมกันอย่างลึกซึ้ง และกลายเป็นบททดสอบแห่งศรัทธาและความกล้า
ภูเขาหัวซานตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองซีอาน มีทั้งหมด 5 ยอด โดยยอดใต้เป็นจุดสูงสุดที่ระดับความสูงกว่า 2,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขานี้เป็นที่รู้จักจากทางเดินบนหน้าผาสูงชันที่เรียกว่า "Plank Walk in the Sky" ทางไม้แคบ ๆ ที่ยึดกับหน้าผาหินสูงลิ่ว ผู้กล้าเดินผ่านจะได้พบประสบการณ์สุดระทึก พร้อมวิวที่งดงามราวกับภาพวาด
แต่หัวซานไม่ใช่แค่การผจญภัย หากยังเป็นดินแดนแห่งพุทธและเต๋า มีวัดและศาลเจ้ากระจายอยู่ตามทางขึ้นเขา ซึ่งหลายแห่งมีประวัติยาวนานนับพันปี ไม่ว่าจะเป็นวัด Jade Spring Temple หรือศาลเจ้าหัวเยวี่ย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาเต๋าบนภูเขาแห่งนี้

ถนนคนเดินหุยหมินเจีย (Hui Min Jie)
หากคุณกำลังมองหาสถานที่ในซีอานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของเครื่องเทศ และวัฒนธรรมที่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืน ถนนคนเดินหุยหมินเจีย หรือ Hui Min Jie คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ
ย่านนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าซีอาน และเป็นศูนย์กลางของชุมชนมุสลิมฮุย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มาหลายร้อยปี ถนนสายนี้มีความยาวประมาณ 500 เมตร แต่แน่นขนัดไปด้วยแผงขายอาหาร เครื่องดื่ม และขนมหวานแบบฮาลาลที่ปรุงสดใหม่ต่อหน้าต่อตา
เดินเพียงไม่กี่ก้าว คุณจะได้กลิ่นหอมของเนื้อแพะย่างเสียบไม้ รสเผ็ดซ่าของบะหมี่เสฉวนฮาลาล และหวานนุ่มของขนม “หวงกุยจือ” ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่นี่ไม่ใช่แค่ถนนขายอาหาร แต่เป็นเวทีแสดงวัฒนธรรมที่ผู้คนหลากเชื้อชาติมาเดินปะปน พูดคุย ยิ้มให้กัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและแสงไฟประดับยามค่ำคืน
นอกจากของกินแล้ว Hui Min Jie ยังเป็นเส้นทางสู่วัฒนธรรมอิสลามในซีอาน โดยมี มัสยิดใหญ่แห่งซีอาน (Great Mosque of Xi’an) ซ่อนตัวอยู่อย่างสงบด้านหลังร้านรวง บอกเล่าเรื่องราวของการเดินทาง การค้า และความศรัทธาที่สืบทอดมายาวนาน
